เส้นทางหลัก: Inside Passage / Northbound & Southbound
ช่วงเวลาเดินทาง: ประมาณกลางเดือน พฤษภาคม - กันยายน ของทุกปี
อลาสก้าในแต่ละช่วงเวลา:
อลาสก้าในแต่ละเดือนความสวยงามแตกต่างกันออกไป แต่ช่วงพีคของอลาสก้าจะเป็นช่วงกรกฏาคม - สิงหาคม แต่ไม่ได้เพราะเหตุผลที่อลาสก้าช่วงเวลานั้นสวยที่สุด แต่เพราะชาวอเมริกาและแคนาดา
เดินทางช่วงนี้ค่อนข้างเยอะ
วีซ่า: อเมริกาแบบ B1/B2 และแคนาดาแบบ Single Entry
อายุของผู้เดินทาง: มากกว่า 6 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเส้นทาง
สายการบิน: ขึ้นอยู่กับเส้นทาง Ex. Inside Passage ใช้สายการบิน Eva Air เป็นต้น
การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
เสื้อผ้า: บนเรือมีงานเลี้ยงตอนรับ และงานเลี้ยงอำลารวมเป็น 2 วัน เสื้อผ้าสำหรับในงานนี้เหมือนกับ
ใส่ไปงานแต่งงานทั่วไป และชุดสำหรับใส่เที่ยวบนฝั่งในแต่ละวัน
อากาศ: อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 8 - 17 องศา สำหรับบนเรืออากาศจะเย็นสบาย
เหมือนอยู่ในห้องปรับอากาศทั่วไป
ควรติดชุดกันฝน หรือร่ม เพราะทุกช่วงเวลาการเดินทางมีโอกาสฝนตก
เงินตรา:
เงินบาท: สามารถนำเงินสด ติดตัวออกนอกประเทศได้ไม่เกินคนละ 50,000 บาท
เงินตราต่างประเทศ: หากเป็นเงินสดท่านสามารถแลกเงินได้ไม่จำกัดจำนวน
แต่ต้องแสดงสำเนาพลาสปอร์ต และสำเนาตั๋วเครื่องบิน
(ถ้าเกิน 5,000 เหรียญสหรัฐ ต้องกรอกแบบฟอร์ม ธต.4)
ชนิดของห้องพักบนเรือ
1. Inside Cabin: ห้องพักด้านในแบบไม่มีหน้าต่าง
2. Outside Cabin: ห้องพักแบบมีหน้าต่าง
3. Balcony Cabin: ห้องพักแบบมีระเบียง ** แนะนำจอง
4. Mini Suite / Suite Cabin / Grand Suite: ห้องพักแบบสวีท
จำนวนผู้โดยสารต่อห้อง:
โดยปกติห้องพักบนเรือจะเริ่มต้นที่ห้องละ 2 ท่าน
สามารถพักได้สูงสูดประมาณ 5 - 6 ท่านต่อห้อง (ขึ้นอยู่กับเรือแต่ละลำ)
** สำหรับท่านที่ 3 ขึ้นไปราคาเรือ (Fare) จะเหลือประมาณ 75% จากราคาเต็ม
** สำหรับท่านที่เดินทางท่านเดียวราคาเรือ (Fare) จะคูณ 2 เพราะเรือจะเบสราคาที่ 2 ท่านเป็นต้นไป การท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญท่านเดียว จึงราคาค่อนข้างสูงกว่าปกติ
ราคาของห้องพักบนเรือ: ราคาจะแพง หรือจะถูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการจอง แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณการจองห้องพัก
ในแต่ละช่วงเวลาการล่องเรือ
Golden Princess |
ศัพท์ที่ใช้เรียกบนเรือสำราญ:
Cabin: ห้องพัก / Deck: ชั้น
Port Side: ด้านซ้าย / Starboard: ด้านขวา
Forward: ด้านหน้า / Mid Ship: ตรงกลาง
AFT.: ด้านหลัง
อลาสก้า - กลาเซียร์ เบย์ เนชั่นแนล พาร์ค |
กลาเซียร์ เบย์ เนชั่นแนล พาร์ค - ถือว่าเป็นจุดขายของอลาสก้า โดยปกติเรือที่จะล่องเข้าเส้นทางนี้ต้องได้รับสัมปทานจึงจะสามารถเข้าไปได้ ดังนั้นจึงมีเรือสำราญไม่กี่ตระกูลที่สามารถล่องเข้าไปได้
ภายในอุทยานแห่งชาติกลาเซียร์เบย์ มีพื้นที่ประมาณ 3.3 ล้านเอเคอร์ ประกอบด้วยกลาเซียร์น้อยใหญ่เช่น ทาร์ อินเล็ท และ จอห์น ฮอปกิ้น เป็นต้น
จากภาพด้านบนแสดงถึงที่ตั้ง และขนาดของธารน้ำแข็งยักษ์ในแต่ละปี ซึ่งลดลงเรื่อยๆด้วยสาเหตุของอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น อลาสก้าจึงเป็นตัวเลือกแรกสำหรับการล่องเรือสำราญที่นักเดินทางเลือกที่จะไปสัมผัสเป็นอันดับต้นๆ เพราะในบางเมืองการเข้าถึงมีวิธีเดียวคือล่องเรือเข้าไปอยู่แล้ว
เส้นทางที่จะรีวิวต่อไปนี้ เป็นเส้นทาง Inside Passage เป็นเส้นทาง Roundtrip Seattle เส้นทางนี้ค่อนข้างบินสบาย และได้สัมผัสอลาสก้าเหมือนกัน แนะนำว่าควรแวะพักที่ Seattle 1 คืนเพื่อปรับสภาพร่างกาย ก่อนลงเรือและเพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีไฟล์ทดีเลย์ หรือยกเลิก สำหรับเส้นทางอลาสก้าโดยปกติแล้วไม่ว่าเส้นทางใดๆ Princess Cruises จะเทียบท่าที่ 3 เมืองหลักคือ จูโน่ เค็ทชิแกน และสแก็กเวย์ แต่อยากลืมเลือกในเส้นทางที่ล่องเข้ากลาเซียร์เบย์ เพราะในบางเส้นทางจะล่องเข้าเทรซี่อาร์ม ฟยอร์ด และฮับบาร์ด กลาเซียร์
สนามบินที่ Seattle มีชื่อว่า Sea-Tec International Airport หลังจากเครื่อง Landing จะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และด่านศุลกากร ตามขึ้นตอนปกติ
** ตามกฏระเบียบของศุลกากร ห้ามนำ พืช ผัก ผลไม้สด-แห้ง เนื้อสัตว์ เข้าประเทศโดยเด็ดขาด
หลังจากผ่านขั้นตอนศุลกากรแล้ว ให้นำกระเป๋าใหญ่ไปดรอปที่สายพานที่ครั้งหนึ่งเพื่อส่งกระเป๋าไปที่ Main Terminal แล้วนั่งรถไฟเพื่อมาที่ Main Terminal จากนั้นไปรับกระเป๋าตามสายพานที่ระบุไว้
** ในวันที่ขึ้นลงเรือ จะมีรถรับ-ส่งจากสนามบิน - ท่าเรือให้บริการ ค่าบริการประมาณ $29 จะมีเจ้าหน้าที่มารอรับตั้งแต่ออกจากด่านศุลกากร หรือตามจุดต่างๆครับ (แทคกระเป๋าของเรือควรติดให้เรียบร้อย เพราะแทคกระเป๋าจะแสดงถึงสถานะของผู้โดยสาร เช่น ห้องพัก และชื่อของผู้โดยสาร แต่ควรติดภายหลังจากที่ออกจากขั้นตอนศุลกากรแล้ว เพราะถ้าติดแทคก่อนอาจจะถูกดึงทิ้งในขั้นตอนการดำเนินการของสายการบิน)
ร้านสตาร์บัค สาขาแรกย่าน Pike Place |
ท่าเรือที่ Seattle ชื่อว่า Pier 91 - Smith Cove Cruise Terminal จากโรงแรมถึงท่าเรือใช้เวลาประมาณ 20 นาที จุดเริ่มต้นของดินแดนมหัศจรรย์แห่งขั้วโลกเหนือ อยู่ที่ตรงนี้ครับ
เมื่อเดินทางถึงท่าเรือ จะมีจุดสำหรับดรอปกระเป๋าใหญ่ (อย่าลืมติดแทคกระเป๋า) ควรแยกของใช้ส่วนตัวไว้ในกระเป๋าใบเล็ก เพราะกระเป๋าใบใหญ่จะได้รับอีกทีเมื่อช่วงเวลากลางคืนเลย หลังจากดรอปกระเป๋าใหญ่แล้ว จะต้องผ่าน Snake Line เพื่อขึ้นไปที่ชั้น 2 ให้เตรียมเอกสารดังนี้ 1. Passport 2.E-ticket 3.Public Health Questionnaire (คำถามเกี่ยวกับสุขภาพ) 4. บัตรเครดิต (ในกรณีลงทะเบียนบัตรเครดิตไปแล้ว เจ้าหน้าที่เช็คอินจะไม่เรียกขอบัตรเครดิตอีก) หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วจะได้รับ Cruise Card ซึ่ง Cruises Card จะใช้สำหรับ 1.เมื่อขึ้น-ลง เรือ 2.ใช้เป็นคีย์การ์ดเข้าห้อง 3.ใช้แทนเครดิตการ์ด (สำหรับใช้จ่ายบนเรือ) ในกรณีใช้จ่ายเป็นเงินสดต้องวางมัดจำท่านละ $300
สีของ Cruise Card จะมีประมาณ 4 สี แบ่งตาม Loyalty
1. สีฟ้า สำหรับการล่องเรือครั้งแรก
2. Golden Level สำหรับการล่องเรือ ตั้งแต่ 1 ครั้ง ขึ้นไป
3. Ruby Level สำหรับการล่องเรือ ตั้งแต่ 4 - 5 ครั้ง หรือระยะเวลา 31 - 50 วัน
4. Platinum Level สำหรับการล่องเรือ ตั้งแต่ 6 - 15 ครั้ง หรือระยะเวลา 51 - 150 วัน
5. Elite Level สำหรับการล่องเรือ ตั้งแต่ 16 ครั้งเป็นต้นไป หรือระยะเวลามากกว่า 150 วัน
เมื่อเช็คอินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ถือ Cruise Card ไว้เพื่อผ่าน Security Zone
บริเวณ Gangway ของเรือจะมีการสแกน cruise Card และถ่ายรูป เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย
ใน Cruise Card จะไม่มีการระบุเบอร์ห้อง แต่จะแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับห้องอาหาร ในวันแรกของการเดินทาง จะมีแผนซ้อมอพยพในกรณีฉุกเฉิน เรียกว่า Emergency Drill จะมีสัญญาณดังสั้น 7 ครั้ง ยาว 1 ครั้ง ให้เตรียมชูชีพไปด้วย ซึ่งชูชีพจะเก็บอยู่บนตู้เสื้อผ้า และให้ดูจุดรวมพล ตรงหลังประตูห้อง
ขนาด 113,000 ตัน บรรจุผู้โดยสารประมาณ 2,590 ท่าน มีทั้งหมด 18 ชั้นบริการ ประกอบด้วย
- ห้องอาหารพิเศษ 2 ห้อง (มีค่าบริการในการจองประมาณ $25 ต่อท่าน)
- Any Times Dining 4 ห้อง
- ห้องอาหารหลัก 1 ห้อง- บริเวณชั้น 14 (Horizon) เป็นในส่วนของอาหารแบบบัฟเฟ่ต์
และ ชั้น 15 เป็น Movie Under the Star
เอกสารแจ้งรายละเอียดบนเรือจะชื่อว่า Princess Platter แนะนำว่าให้อ่านทุกวันครับ เพราะคำตอบจะอยู่ในนี้ทั้งหมด
จะเป็นเอกสารแนะนำกิจกรรมต่างๆ ในเรือ สภาพอากาศของวันถัดไป และข้อมูลที่จำเป็น
ถ้าจะเที่ยวเรือให้สนุกแนะนำว่าต้องร่วมกิจกรรมนะครับ
จูโน่ เมืองหลวงของมลรัฐอลาสก้า โดยปกติแล้วเมื่อเรือเทียบท่าควรกลับมาขึ้นเรือก่อนเรือออกเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ทัวร์บนฝั่งสำหรับเมืองนี้จะมีหลายอย่างครับ เช่น Medenhall Glacier, Whale Watching, Mount Roberts Tramway รวมถึงทัวร์เฮลิคอปเตอร์ก็ที่จูโน่
ทัวร์แนะนำสำหรับที่เมืองนี้คือ Mendenhall Glacier & Whale Quest ล่องเรือ Catamaran เพื่อเดินทางเข้าสู่อ่าว Auke ที่เต็มไปด้วยวาฬหลายสายพันธุ์ เช่น Gray Whale , Killer Whale, Humback Whale , Beluga Whale รวมถึงแมวน้ำ สิงโตทะเล นกอินทรีหัวขาว ทาง Princess Cruises รับประกันว่าหากเดินทางมาที่อ่าว Auke ยังไงก็จะได้เห็นปลาวาฬเพราะที่นี่คือบ้านของเค้า แต่ยังไงธรรมชาติก็อยู่เหนือการควบคุมครับ
บนเรือ Catamaran จะมีรูปภาพของวาฬ Humback Whale ว่าตัวไหนมาโชว์ให้เราเห็นบ้าง โดยแยกแยะจากที่หางวาฬที่แวะมาเราชอบมาจะชอบโชว์แค่ส่วนหาง .... ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ? ** สำหรับใครที่ไมีโอกาสเห็น Beluga Whale ในแหล่งธรรมชาติถือว่าโชคดีมากๆ
หลังจากจบโปรแกรมดูวาฬแล้ว ก็มาต่อด้วย Mendenhall Glacier ธารน้ำแข็งที่เกิดก่อนยุคน้ำแข็งราว 3,000 ปี และเป็นธารน้ำแข็ง ที่มีอายุยาวกว่าธารน้ำแข็งอื่นในอเมริกาเหนือ
การเกิดของ Glacier
ธารน้ำแข็ง (glacier) เป็นมวลของน้ำแข็งที่ได้จากการสะสมตัว การรวมตัวกันอย่างหนาแน่น และการตกผลึกใหม่จากหิมะ ที่ไหลอยู่ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง หิมะซึ่งสะสมตัวอยู่ตามยอดเขา ถ้าภูมิอากาศเหมาะสมอาจสามารถคงอยู่ได้โดยไม่มีการละลาย
ทัวร์สำหรับ Mendenhall Glacier สามารถเลือกได้ 2 แบบนะครับ
1. ทางรถบัส
2. ทางเฮลิคอปเตอร์ จะได้สัมผัสกลาเซียร์อย่างใกล้ชิด แต่จะมีข้อเสียตรงที่ทัวร์มีโอกาสยกเลิกได้ ขึ้นอยู่กับทางสภาพอากาศ หากอากาศปิดทัวร์ชมกลาเซียร์ทางเฮลิคอปเตอร์ก็จะยกเลิกทันที ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสำคัญ
หลังจากจบทัวร์ของเรือแล้วสามารถเดินเล่นที่เมือง Juneau หากยังพอมีกำลังก็ไปเดินเล่นต่อที่ถนน Franklin ก็ได้ครับ สองฝั่งถนนจะเป็นอาคารเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี สามารถหาซื้อของฝากได้ที่บริเวณนี้ หากอยากนั่งชิวๆชมบรรยากาศเมืองพร้อมจิบกาแฟหอม ก็แถวนี้อีกเช่นกันครับ
จากท่าเรือ South Franklin เดินไปในตัวเมืองใช้เวลาประมาณ 5 นาที
หากยังพอมีเวลาเหลือก็สามารถขึ้นไปสัมผัสยอดเขาโรเบิร์สต บนความสูง 2,000 ฟุต โดยรถกระเช้า Mt. Roberts Tramway ใช้เวลาประมาณ 5-6 นาทีสำหรับการขึ้นลง ค่าโดยสารไปกลับประมาณ 22 USD แต่คิวรอลงอาจจะยาวไปหน่อย
** สำหรับท่านใดอยากลิ้มลองรสชาตของปูอลาสก้า บริเวณนี้มีร้านชื่อ Tracy’s King Crab
เปิดให้บริการตั้งแต่ 10:30 AM – 8:00 PM
ผมเล่าตกไปอย่างนึง คือในวันแรกของวันล่องเรือจะมีงานเลี้ยง Welcome Dinner Princess Cruises จะเป็นเรือลำเีดียวที่จัด Champagne Fountain การแต่งกายไปงานเลี้ยงต้อนรับเหมือนกับไปงานแต่งงาน โปรแกรมนี้จะแจ้งอยู่ใน Princess Platter ครับ ขอเน้นอีกครั้งถ้าจะเที่ยวเรือให้สนุกต้องไปร่วมกิจกรรม
วันต่อมาจะเป็นเมือง Skagway ครับเมืองสแก็กเวย์เป็นเมืองที่มีบรรยากาศเหมือนหนังคาวบอยตะวันตก เนื่องจากเมื่อก่อนเมืองนี้ครั้งหนึ่งได้เคยมีนักตื่นทองมาแสวงหาทองคำที่นี่กว่า 1,000 คน
ทัวร์แนะนำจะมี 2 ทัวร์คือ 1. White Pass Scenic Railway กับ 2. Rail Summit Gold Panning & Gourmet Lunchทั้ง 2 ทัวร์จะเป็นนั่งรถไฟชมวิวเหมือนกันครับ เป็นรถไฟสายไวท์พาส ที่เทียบท่าอยู่บริเวณท่าเรือ ซึ่งจะพาท่านย้อนยุคศึกษาประวัติศาสตร์เส้นทางรถไฟสายนี้ที่ตัดข้ามขุบเขา และหุบเหว เพื่อพานักแสวงโชคเดินทางเข้าสู่มณฑลยูคอนของแคนาดาเพื่อแสวงหาทอง แทนการใช้ม้า โดยรถไฟจะวิ่งสู่งจุดสูงสุดที่เกือบ 3,292 ฟิต ซึ่งตลอดสองข้างทางจะได้พบความงดงามแห่งธรรมชาติที่เหนือคำบรรยายแต่ทัวร์ที่ 2 พิเศษตรงที่จะมีโปรแกรมขุดทองด้วยฮาฟ ** ใน Princess Platter แจ้งว่าจะต้องไปรับ Passport คืน เพราะมีช่วงนึงที่ต้องผ่านแคนาดาด้วยครับ
หลังจากจบโปรแกรมทัวร์ของเรือแล้วก็สามารถไปเล่นต่อในเมืองได้ จะมีรถรับส่งจากท่าเรือ ไปในตัวเมืองจริงๆ แล้วก็สามารถเดินได้ แต่เพื่อความประหยัดเวลา รถรับส่งชื่อ “All Day Pass” ค่าบริการเที่ยวละ 2 USD แต่ต้องการเหมาจ่ายเป็นบุฟเฟต์ก็ 5 USD สถานที่สำคัญในเมืองก็จะมี อาคารบ้านเรือนสมัยเก่าที่ตั้งอยู่สองฝั่งของ ถนนบรอดเวย์ (Broadway St.) จากซ้ายไปขวา- โกลเดน นอร์ธ โฮเต็ล (The Golden North Hotel) เป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในอลาสก้า เป็นอาคารสูง 3 ชั้น หลังคามีโดมทอง และสัญลักษ์ที่บ่งบอกถึงยุคตื่นทองในอลาสก้าคือโดมสีทองนั่นเอง - อาร์กติก บราเดอร์ฮูด ฮอลล์ ( The Arctic Brotherhood Hall )
ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงาน ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวของสแก๊กเวย์ (Skagway Visitor Information Center) อยู่ต่อเนื่องกันไปกับ Red Onion Saloon อาคารไม้สองชั้นหลังนี้อาจเป็นสถานที่ที่ถูกบันทึกภาพมากที่สุดในอลาสก้า ด้านหน้าของอาคารหลังนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยไม้ชิ้นเล็ก ๆ หลายพันชิ้นเป็นลวดลายสวยงาม - เรด อันเนียน ซาลูน (Red Onion Saloon) เป็นร้านขายเหล้าที่โด่งดังที่สุดในสแก๊กเวย์ ที่ตั้งข้ามแยกที่ 2 ไป อยู่ด้านฝั่งซ้ายเช่นเดิม ถนนบรอดเวย์ ระหว่างแยกที่ 5-6
ฝั่งขวามือ ค่าเข้าชมท่านละ 15U$
- พิพิธภัณฑ์สแก๊กเวย์ (Skagway Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ที่จัดแสดงภาพถ่าย ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องมืออุปกรณ์ในการทำงานของคนงานเหมืองทอง และสิ่งอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง โดยให้เดินเลี้ยวขวาที่แยกที่ 6 ค่าเข้าชม 2U$
ที่ Skagway มีร้านให้ชิมปูอลาสก้าเหมือนกันอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที ถ้าวิ่งก็ 5 นาที ชื่อร้าน The Stowaway Café Breakfast and Lunch served 10 a.m until 4:00 p.m. Dinner served 4:00 p.m. to 9:00 p.m.
http://stowawaycafe.com/
http://stowawaycafe.com/
วันนี้จะเป็นไฮไลท์ของเส้นทางอลาสก้า เรือจะไม่ได้เทียบท่าแต่จะเป็นการล่องเรือชมวิวแทน ตามที่ผมแนะนำไปตอนแรกว่าควรจะเลือกห้องพักแบบมีระเบียงเพราะสามารถนั่งชมวิวได้บริเวณ Balcony ของห้องก็โรแมนติกไปอีกแบบ หรือจะขึ้นมาบริเวณ Horizon Court Deck 14 ครับ เมื่อเรือเข้าถึงส่วนของอุทยานแห่งชาติจะมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานมาเพื่อบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวของที่นี่ครับ และหากจุดใดขณะล่องเรือมีปลาวาฬขึ้นมาโชว์ตัว หรือเห็นแมวน้ำนอนอาบแดดมาบนก้อนน้ำแข็ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ของอุทยานจะประกาศให้ทราบครับโดยเจ้าหน้าที่จะประกาศว่า ที่ 1 นาฬิกา ฝั่ง Starboard ปลาวาฬกำลังขึ้น อะไรแบบนี้
Ketchikan เมืองหลวงของปลาแซลมอน มีชื่อเสียงในเรื่องของปลาแซลมอน
สินค้าขึ้นชื่อจึงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากปลาแซลมอน ในฤดูวางไข่ของปลาแซลมอล
ประมาณเดือนสิงหาคม ปลาจะว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข่ด้านบน
และจะมีหมีคอยจับปลาพวกนี้กินเป็นอาหาร ปลาแซลมอลเมื่อวางไข่แล้ว
ก็จะตายในทันทีปลาชนิดนี้จะเกิดในน้ำจืด แต่โตในน้ำทะเล และจะกลับมาวางไข่ในน้ำจืดอีกครั้ง
สำหรับท่านใดที่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์จากปลาแซนมอลสามารถช๊อปได้บริเวณป้ายเมือง Ketchikan ครับ
** ลืมบอกไปว่าควรปรับเวลาตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งทุกครั้งครับ เพื่อป้องกันการผิดพลาด
โดยรายละเอียดการปรับเวลาเจ้าหน้าที่ที่ดูแลห้องจะวางไว้บนหมอนที่ห้องนอน
** ของมีค่าหากไม่ต้องการพกติดตัวลงไปสามารถเก็บไว้ที่ตู้เซฟได้ครับ
** วันนี้เจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมเอกสารสำหรับกรอกข้อมูลในวันลงเรือให้กรอก
เช่น เวลาที่ต้องการลงเรือ บลาๆ
สำหรับที่นี่ไม่มีทัวร์ที่แนะนำครับ แต่ถ้าอยากจะซื้อก็จะเป็นทัวร์ประเภทโชว์ตัดไม้ หรือ โชว์แกะสลักเสาโทเทม เสาโทเทมแต่ละเสา มีความหมาย เหมือนเป็น Blog ของคนสมัยนั้น
สถานที่เดินเล่นในเมืองนี้จะเป็นถนนครีก เป็นถนนสายสั้นๆ และเป็นสายพิเศษที่ใครก็ต้องมา
เป็นถนนไม้สร้างริมลำธารที่สำหรับให้ปลาแซลมอนว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข้ในฤดูวางไข่
มีร้านขายของที่ระทึกมากมายอยู่บนถนนเส้นนี้ และมีบ้าน Holly หลังสีเขียวเล็กๆ
ตั้งอยู่เป็นอีกจุดหนึ่งที่ได้รับคำแนะนำว่าต้องมาเยือน
** สำหรับหลายๆคนที่มีคำถามว่า ควรซื้อทัวร์บนเรือหรือเปล่า ถ้าซื้อทัวร์กับเรือก็จะสะดวก สบาย และที่สำคัญไม่ตกเรือ !!แต่จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับเมืองครับ บางเมืองการเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆสะดวกก็ไม่ต้องซื้อทัวร์ของเรือก็ได้ครับ
วันสุดท้ายของเส้นทางอลาสก้า Victoria, British Columbia เมืองที่มีสวนพฤษชาติไม้ดอก
ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่มีขนาดถึง 55 เอเคอร์ นั่นคือ Butchart Garden
และทัวร์ที่แนะนำจะเป็นทัวร์อย่างอื่น ไม่ได้นอกจาก Butchart Garden แต่จะเป็นตอนกลางคืน
** คืนนี้ก่อนเวลา 24.00 น. ให้จัดกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ และวางไว้หน้าห้องพัก ติดแท็กกระเป๋าให้เรียบร้อยเหมือนวันที่ขึ้นเรือ ซึ่งแทคกระเป๋าจะแยกตามสี เพื่อแบ่งลำดับการลงจากเรือ
เจ้าหน้าที่จะได้รวบรวมไปเก็บไว้ที่ห้องสโตร์และนาลงจากเรือในวันรุ่งขึ้น
โดยเรือจะแจ้งเวลาให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
** ถ้าซื้อบริการถรับส่งจากทางเรือ จะมีบริการส่งกระเป๋าไปที่สนามบินเลยครับ
แต่เพื่อความแน่ใจต้องสอบถามเจ้าหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง
** ทัวร์ของเรือทุกทัวร์ แนะนำว่าจองไปจากเมืองไทยจะดีกว่าครับ เพื่อป้องกันการพลาดโอกาส
เพราะอาจจะเต็มในกรณีที่เป็นทัวร์แนะนำ
** ห้องอาหารมื้อเย็นมี 2 เวลา 17.30 กับ 20.00 จองไปเลยดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องรอนานในกรณี Traffic Jam เวลาของการรับประทานอาหารเย็นจะระบุลงไปใน Cruise Card ครับ ถ้าไม่ได้จอง Cruise Card จะระบุว่า Any time การจองห้องอาหารเพื่อความสะดวกนะครับ ไม่ได้ถือว่าเป็นการผูกมัดตัวเอง ถ้าวันไหนไม่อยากมาทานก็แจ้งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลโต๊ะเราได้ครับ
** ในกรณีที่จองทัวร์ไปจากเมืองไทย ทุกๆวันจะมีตั๋วของทัวร์นั้นๆใส่ซองมาวางไว้ให้ในห้องนอนเราครับ
ซึ่งในตั๋วก็จะระบุเวลา ชื่อของผู้โดยสาร
** จริงๆแล้วเรือมีเส้นทางแจ่มๆอีกเยอะ แต่ยังขาดการบอกต่อ ทั้งเส้น Baltic / Mediterranean / Scandinavia / Australia & New Zealand
** เรือสำราญไปไหนได้บ้าง ? เป็นคำถามที่กว้างมาก เพราะเรือสำราญให้บริการเกือบทุกเส้นทางในโลกนะครับ
ผู้เดินทางต้องโฟกัสเมือง และเดือนที่ต้องการเดินทางก่อนครับ แล้วค่อยว่าเลือกเรือว่าจะใช้บริการของเรือตระกูลอะไร
** เรือสำราญแพง ? จริงๆแล้วเรือสำราญไม่ได้แพงกว่าการท่องเที่ยวในรูปแบบอื่น เพราะเงินที่เราจ่ายไว้รวมค่าห้องพัก
ค่าอาหาร ไว้แล้ว แต่ตัวแปรที่ทำให้ราคาสูงเพราะตั๋วเครื่องบินครับ
** เรือสำราญน่าเบื่อ ? ตามที่ผมบอกไว้ตอนแรกครับ ถ้าจะเที่ยวเรือสำราญให้สนุกต้องร่วมกิจกรรมครับ
และที่สำคัญเรือสำราญก็เหมือนโรงแรมลอยน้ำเคลื่อนที่ ก็เหมือนเราอยู่ในโรงแรมตอนกลางคืนเหมือนกัน
แต่แตกต่างกันตรงที่ตื่นเช้ามาก็เจอเมืองใหม่ สบายกว่ากันตั้งเยอะ
** ถ้านึกอะไรได้จะมาแจ้งให้ทราบอีกครับ >.<”
** เดือนไหนควรไปไหนบ้าง PM มาถามแล้วกันครับ
ขอจบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ ^^
No comments:
Post a Comment